บัตรเครดิต
จัดทำโดย
น.ส.รัชกาญจน์ สืบท้วม
เลขที่23
ห้อง ม.5/937
เสนอ
ครูประพิศ ฝาคำ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
บัตรเครดิตคืออะไร
ความแตกต่างระหว่างบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
บัตรเครดิต คือ
บัตรที่เราได้รับวงเงิน (Credit) อนุมัติจากธนาคาร
เหมือนเป็นการยืมเครดิตจากธนาคารในการใช้รูดซื้อสินค้า ภายในวงเงินที่ได้รับ
โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเงินอยู่ในบัญชี หรือฝากไว้อยู่ในบัตรเลยก็ตาม
แล้วจึงค่อยชำระเงินในภายหลังตามรอบบัญชีแต่ละเดือน
ส่วน บัตรเดบิต คือบัตรที่เราจะสมัครคู่กับบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่
บัตรจะผูกกับบัญชีเสมอ หลายคนอาจเข้าใจว่ามันคือบัตรเอทีเอ็ม ที่สามารถกดเงินสด
โอนเงิน หรือชำระเงินได้ แต่ที่จริงแล้ว บัตรเดบิตทำได้มากกว่าบัตรเอทีเอ็ม
มันสามารถรูดซื้อสินค้าได้ด้วย ให้สังเกตบัตร จะมีสัญลักษณ์ วีซ่าอิเลคตรอน Visa Electron อยู่บนหน้าบัตร
หากเปรียบเทียบบัตรเครดิต และ บัตรเดบิต ต่างกันตรงที่ การใช้บัตรเดบิตนั้น เราจะต้องมีเงินในบัญชีก่อนเท่านั้น เนื่องจากบัตรจะหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ที่ผูกไว้ทันที ไม่เช่นนั้น จะรูดซื้อสินค้าไม่ผ่าน ส่วนความเหมือนของทั้งคู่ คือ สามารถนำมากดเงินสดได้เหมือนกัน แต่อย่าเรียกว่าเหมือนเลย เดี๋ยวจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด หากกดเงินสดจากบัตรเครดิต (Cash Advance) จะมีค่าธรรมเนียม 3% ขั้นต่ำ 300-500บาท แล้วแต่ธนาคาร และยอดเงินที่กด จะถูกนำไปคิดใน statement ว่าเรายืมธนาคารมาใช้เป็นเงินสดเท่าไหร่ และยังถูกคิดดอกเบี้ยสำหรับยอดเงินที่กดมาใช้อีก หากเราไม่ได้ชำระเงินตรงตามกำหนด ซึ่งไม่นิยมใช้กดกัน เพราะว่าดอกเบี้ยสูงถึงประมาณ 25-28% ต่อปี ในขณะที่บัตรเดบิตให้ใช้กดเงินสดที่มีอยู่แล้วในบัญชีออกมาใช้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆหากกดที่ตู้ของธนาคารเดียวกัน
ในการใช้บัตรเครดิตนั้น หากเราชำระบัตรเครดิตตรงตามกำหนดทุกงวด การใช้บัตรเครดิตก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา แต่ด้วยความสะดวกในการรูดซื้อสินค้าอาจส่งผลให้เราใช้จ่ายเกินตัว และไม่สามารถชำระ "หนี้" ได้ทัน ก็จำต้องจ่ายดอกเบี้ยตามข้อเสนอของธนาคาร โดยชำระขั้นต่ำเพียง 10% และจ่ายดอกเบี้ยอีกประมาณ 20% ต่อปี นี่คือสาเหตุที่ธนาคารพยายามเชิญชวน (ยัดเยียด) ให้เราใช้บัตรเครดิต บ้างก็ส่งบัตรมาให้ใช้ถึงที่บ้าน เพียงแค่โทรไปเปิดบัตร ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
หากเปรียบเทียบบัตรเครดิต และ บัตรเดบิต ต่างกันตรงที่ การใช้บัตรเดบิตนั้น เราจะต้องมีเงินในบัญชีก่อนเท่านั้น เนื่องจากบัตรจะหักเงินจากบัญชีออมทรัพย์ที่ผูกไว้ทันที ไม่เช่นนั้น จะรูดซื้อสินค้าไม่ผ่าน ส่วนความเหมือนของทั้งคู่ คือ สามารถนำมากดเงินสดได้เหมือนกัน แต่อย่าเรียกว่าเหมือนเลย เดี๋ยวจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด หากกดเงินสดจากบัตรเครดิต (Cash Advance) จะมีค่าธรรมเนียม 3% ขั้นต่ำ 300-500บาท แล้วแต่ธนาคาร และยอดเงินที่กด จะถูกนำไปคิดใน statement ว่าเรายืมธนาคารมาใช้เป็นเงินสดเท่าไหร่ และยังถูกคิดดอกเบี้ยสำหรับยอดเงินที่กดมาใช้อีก หากเราไม่ได้ชำระเงินตรงตามกำหนด ซึ่งไม่นิยมใช้กดกัน เพราะว่าดอกเบี้ยสูงถึงประมาณ 25-28% ต่อปี ในขณะที่บัตรเดบิตให้ใช้กดเงินสดที่มีอยู่แล้วในบัญชีออกมาใช้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆหากกดที่ตู้ของธนาคารเดียวกัน
ในการใช้บัตรเครดิตนั้น หากเราชำระบัตรเครดิตตรงตามกำหนดทุกงวด การใช้บัตรเครดิตก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา แต่ด้วยความสะดวกในการรูดซื้อสินค้าอาจส่งผลให้เราใช้จ่ายเกินตัว และไม่สามารถชำระ "หนี้" ได้ทัน ก็จำต้องจ่ายดอกเบี้ยตามข้อเสนอของธนาคาร โดยชำระขั้นต่ำเพียง 10% และจ่ายดอกเบี้ยอีกประมาณ 20% ต่อปี นี่คือสาเหตุที่ธนาคารพยายามเชิญชวน (ยัดเยียด) ให้เราใช้บัตรเครดิต บ้างก็ส่งบัตรมาให้ใช้ถึงที่บ้าน เพียงแค่โทรไปเปิดบัตร ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
สิทธิประโยชน์ต่างๆ
และข้อดีของบัตรเครดิต
1. มีสิทธิประโยชน์ที่จูงใจผู้ใช้ในหลายหลายรูปแบบ
เช่น
- ได้เงินคืน (Cash Back) เงินเครดิตคืนเข้าบัตรในภายหลัง
- ได้ส่วนลด (Discount) ได้ส่วนลดทันที ณ ที่จ่าย
- สะสมคะแนน (Point Reward) สามารถนำไปแลกของหรือคูปองแลกซื้อสินค้าได้อีก
- สามารถแบ่งจ่าย (Pay Lite) เช่น ชำระ 0% 3, 6, 10 เดือน ฯลฯ
2. พกง่าย ขอแค่จำลายเซ็นได้ก็พอ และไม่ต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก (บัตรเดบิตก็ทำได้ หากคุณมีเงินในบัญชีพอ)
3. สามารถซื้อสินค้ามาครอบครองได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินในทันที และมีโอกาสนำเงินจำนวนนั้นๆไปลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไรอย่างอื่นได้
4. สามารถใช้ชำระค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการอื่นๆได้ หรือจะหักจ่ายตามรอบบิล Smart Billing ได้อีกด้วย (ข้อนี้สะดวกมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปตามจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ฯลฯ) รวมทั้งสามารถใช้ซื้อของออนไลน์ผ่านเพย์สบาย (Paysbuy) หรือ เพย์พอล (Paypal) นั่นเอง
5. ใช้ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM มาใช้ล่วงหน้าผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดจากตู้ ATM มาใช้ก่อนล่วงหน้าได้
แต่มีข้อควรระวังในการใช้บริการ คือ คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการเบิกใช้เงินสดในอัตราที่ค่อนข้างสูง
- ได้เงินคืน (Cash Back) เงินเครดิตคืนเข้าบัตรในภายหลัง
- ได้ส่วนลด (Discount) ได้ส่วนลดทันที ณ ที่จ่าย
- สะสมคะแนน (Point Reward) สามารถนำไปแลกของหรือคูปองแลกซื้อสินค้าได้อีก
- สามารถแบ่งจ่าย (Pay Lite) เช่น ชำระ 0% 3, 6, 10 เดือน ฯลฯ
2. พกง่าย ขอแค่จำลายเซ็นได้ก็พอ และไม่ต้องพกเงินสดติดตัวเป็นจำนวนมาก (บัตรเดบิตก็ทำได้ หากคุณมีเงินในบัญชีพอ)
3. สามารถซื้อสินค้ามาครอบครองได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินในทันที และมีโอกาสนำเงินจำนวนนั้นๆไปลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไรอย่างอื่นได้
4. สามารถใช้ชำระค่าสาธารณูปโภค และค่าบริการอื่นๆได้ หรือจะหักจ่ายตามรอบบิล Smart Billing ได้อีกด้วย (ข้อนี้สะดวกมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปตามจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ฯลฯ) รวมทั้งสามารถใช้ซื้อของออนไลน์ผ่านเพย์สบาย (Paysbuy) หรือ เพย์พอล (Paypal) นั่นเอง
5. ใช้ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM มาใช้ล่วงหน้าผู้ถือบัตรสามารถเบิกเงินสดจากตู้ ATM มาใช้ก่อนล่วงหน้าได้
แต่มีข้อควรระวังในการใช้บริการ คือ คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการเบิกใช้เงินสดในอัตราที่ค่อนข้างสูง
ข้อเสียของการใช้บัตรเครดิต
1. เพิ่มหนี้สินให้ตัวเอง
และสร้างความกังวลในการชำระหนี้ในภายหลัง ว่าจะครบกำหนดชำระเมื่อไหร่ ยอดจำนวนเท่าไหร่
เป็นต้น
2. หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนดหรือไม่ได้ชำระเต็มจำนวน จะมีค่าปรับ + ดอกเบี้ย ให้ต้องชำระเพิ่มอีก
3. ดอกเบี้ยสูง เป็นภาระหนี้เพิ่ม นอกจากจะต้องชำระหนี้เงินต้นแล้วยังมีดอกเพิ่มให้ปวดหัว
4. สร้างความเคยตัวในการใช้เงิน เพิ่มความฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน
2. หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนดหรือไม่ได้ชำระเต็มจำนวน จะมีค่าปรับ + ดอกเบี้ย ให้ต้องชำระเพิ่มอีก
3. ดอกเบี้ยสูง เป็นภาระหนี้เพิ่ม นอกจากจะต้องชำระหนี้เงินต้นแล้วยังมีดอกเพิ่มให้ปวดหัว
4. สร้างความเคยตัวในการใช้เงิน เพิ่มความฟุ่มเฟือยในชีวิตประจำวัน
บัตรเครดิต
ใครมีสิทธิ์ใช้
การมีบัตรเครดิตไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน
โดยผู้ออกบัตรจะพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้สมัครบัตรเครดิต ดังนี้
1. ความน่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจาก ประวัติการใช้บริการสินเชื่อ ประวัติการชำระเงินคืน วินัยในการใช้สินเชื่อประวัติการชำระหนี้ของบริษัท
ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National
Credit Bureau Co.,Ltd.) การมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง อาชีพ และบุคคลอ้างอิง เป็นต้น
2. ความสามารถในการชำระหนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้- มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือ- มีเงินฝากเป็นหลักประกันเต็มวงเงิน หรือ- มีเงินฝากประจำกับธนาคารไม่น้อยกว่า 500,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ- มีเงินฝากออมทรัพย์ หรือลงทุนในตราสารหนี้
หรือลงทุนในกองทุนรวมไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยวงเงินที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากผู้ออกบัตรเครดิตขึ้นกับการพิจารณาของผู้ออกบัตรแต่สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน
คุณสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่รับบัตรเครดิตในเครือข่ายบัตรเครดิตเท่านั้นซึ่งสามารถสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์หรือโลโก้ของเครือข่ายบัตรเครดิตที่ติดตามร้านค้าและสถานที่ประกอบการต่าง ๆ
เมื่อใช้บัตรเครดิตแล้ว
ชำระเงินที่ไหน
- ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต
- จุดบริการรับชำระเงินที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เช่น
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เคาน์เตอร์เซอร์วิส และ ธนาคารพาณิชย์อื่นที่ระบุในใบแจ้งหนี้ เป็นต้น
- ช่องทางต่างๆ เช่น ตู้ ATM โทรศัพท์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ต หรือการทำข้อตกลงให้หักจากบัญชีเงินฝาก เป็นต้น
- ช่องทางต่างๆ เช่น ตู้ ATM โทรศัพท์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ต หรือการทำข้อตกลงให้หักจากบัญชีเงินฝาก เป็นต้น
การใช้และการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
การซื้อสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต
1.
ผู้ซื้อยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานขาย จากนั้นพนักงานขายจะนำบัตรเครดิตไปรูดที่เครื่องรูดบัตร (Electronic
Data Capture: EDC) ซึ่งอาจเป็นของธนาคาร
หรือ Non-bank แห่งอื่นๆ ซึ่งเรียกว่า สถาบันผู้รับบัตร หรือ Acquirer
2. จากนั้น เครื่อง EDC จะส่งข้อมูลกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร 3. สถาบันผู้รับบัตรจะส่งข้อมูลต่อไปยังศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิต (เช่น VISA หรือ MASTER เป็นต้น) 4. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะส่งข้อมูลไปยังธนาคาร หรือ Non-bank ที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิตนั้นซึ่งเรียกว่า สถาบันผู้ออกบัตร หรือ Issuer เพื่อขออนุมัติการใช้บัตรเครดิต 5. สถาบันผู้ออกบัตรจะตรวจสอบวงเงินว่ามีเพียงพอหรือไม่ และแจ้งการอนุมัติกลับไปยังศูนย์เครือข่าย บัตรเครดิต 6. ศูนย์เครือข่ายบัตรเครดิตจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังสถาบันผู้รับบัตร 7. สถาบันผู้รับบัตรจะแจ้งการอนุมัติกลับไปยังร้านค้าเพื่อพิมพ์ใบบันทึกการขาย (Sales Slip) 8. ผู้ซื้อตรวจสอบความถูกต้องของใบบันทึกรายการขาย (Sales Slip) ก่อนที่จะเซ็นชื่อ และเก็บ Sales Slip ไว้เป็นหลักฐานการชำระเงิน และเพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งหนี้
การชำระเงิน
9. สถาบันผู้ออกบัตรจัดส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้ซื้อก่อนครบกำหนดชำระเงิน
10. ผู้ซื้อควรชำระค่าใช้จ่ายตามยอดหนี้ที่ระบุในใบแจ้งหนี้ให้แก่สถาบันผู้ออกบัตรภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้น ต้องเสียค่าดอกเบี้ยและค่าบริการต่าง ๆ
ตัวอย่างของบัตรเครดิตออกโดยธนาคารพาณิชย์ต่างๆ
|
แหล่งข้อมูล
http://nutthunnie.blogspot.com/2012/01/blog-post.html
http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/creditcard_mean.aspx
http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/usepay.aspx
http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/creditcard_4.aspx
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น